พระอาจารย์
17/21 (571231C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
31 ธันวาคม 2557
(ช่วง 1)
(หมายเหตุ : แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น 2 ช่วงบทความ)
พระอาจารย์ – ให้ห้าวหาญในการปฏิบัติ ...อย่าไปห้าวหาญตามกิเลส
อย่าไปห้าวหาญกับการเอาชนะคะคานในความคิดในความเห็นกับคนอื่น
มันไม่มีประโยชน์หรอก เสียเวลาเปล่า ...บาดเจ็บล้มตายเพราะว่าทะเลาะเบาะแว้งกันในธรรมนี่ล่ะ
ตกนรกหมกไหม้ก็เพราะการทะเลาะกันในธรรมนี่แหละ
ซึ่งมันไม่ได้เป็นสิ่งที่ว่าตรงต่อธรรมเลย มันไม่ได้เป็นสิ่งที่จรรโลงพระศาสนาเลย ...กลับทำความมืดมน มืดบอด ต่อศีลสมาธิปัญญาเสียด้วยซ้ำ
การจะสืบทอดอายุพระศาสนา
การจะทำให้พระศาสนานี้มีคุณค่า มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นมรรคเป็นผลขึ้น ...คือต้องทำตัวเองนี่ให้บังเกิดด้วยศีลสมาธิปัญญา
เนี่ย
เรียกว่าอุ้มชูพระศาสนาโดยตรงเลย ...ไม่ต้องลงทุนเสียเงินสักสตางค์แดงเดียว
นั่งอยู่เฉยๆ นี่ “กูอุ้มศาสนาแล้วโว้ย” โดยที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงเสียเงินเสียทองด้วยนะ
ไม่ต้องไปก่อสร้างเจดีย์
ไม่ต้องไปเดินถือบาตรถือกลดธุดงค์อะไรบ้าบอ ...อยู่ตรงนี้ แต่เปี่ยม เต็ม ล้น
ด้วยศีลสมาธิปัญญาภายใน ...นี่คือการอุ้มชูพระศาสนา
เวลาพระพุทธเจ้าท่านก่อนสิ้นพระชนม์
ก่อนนิพพาน ท่านฝากศาสนา
ฝากศีลสมาธิปัญญาไว้กับพุทธบริษัท ๔ ท่านให้อยู่ยืนเดินนั่งนอนอยู่ในศีลสมาธิปัญญา
...อย่างนี้ท่านเรียกว่าฝากไว้
มันก็ไม่เอา และไม่เก็บไม่งำไว้ ...เหมือนกระเชอก้นรั่วน่ะ ...ไม่แม้กระทั่งเพียรที่จะรักษา ไม่เพียรที่จะค้นหาศีลสมาธิปัญญาของตัวเองภายใน
แต่ถนัดถนี่เหลือเกินในการจับผิดศีลสมาธิปัญญาผู้อื่น
สำนักอื่น ลูกศิษย์อาจารย์องค์อื่น นี่....เกิดมากินข้าวเสียข้าวสุก เป็นสำนัก
เป็นพุทธศาสนาแค่ชื่อทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประชาชน
แล้วก็ห้อยคอด้วยพระ ...แต่ไม่ได้ใกล้พระเลย
พระธรรมก็ไม่ได้ถึงเลย พระสงฆ์ก็ไปสุ่มๆ เดาๆ เอาตามป่า ราวป่า ...ไม่รู้ว่าพระหรือแพะน่ะ กูก็สุ่มเอาล่ะวะ
ทำให้มันถึงด้วยตัวเองสิ เอามันจนเคารพได้...เคารพศีลของตัวเองได้น่ะ ไม่บกพร่องในศีลเลย อย่างนี้ ...ไม่มีใครไหว้กูหรอก
กูไหว้ตัวเอง อยู่ในป่าไหว้ทั้งวัน ไหว้ศีลตัวเอง ไม่ได้ไหว้กิเลสเลย
ไหว้ที่ตัวเองมีศีล เคารพนบนอบศีลของตัวเอง
ไม่มีคำว่าขาดตกบกพร่องด่างพร้อยไปเลย ...เออ มันน่ากราบไหว้
ขนาดตัวเองยังกราบไหว้ตัวเองลงเลย
เพราะเต็มเปี่ยมไปด้วยศีล ...จิตไม่มีคำว่ากระดิกกระเดี้ยออกนอกไปมา เหมือนเคย เหมือนแต่เก่าก่อน
เหมือนที่เคยเป็นมาเป็นอเนกชาติ เออ มันน่าเคารพ...อธิจิต อธิศีลของเจ้าของน่ะ
ใครรู้-ใครไม่รู้...ไม่สนน่ะ
แต่ตัวเองมันอยู่ได้โดยไม่ละอายใจ ...เออ กูเกิดมานี่ไม่เสียข้าวสุกเว้ย
ไปบิณฑบาตเขามากินนี่ ไม่เปลืองแรง ไม่เสียข้าวสุกเขา
กว่าเขาจะมาใส่บาตร นี่ กูเดินบิณฑบาตหกโมง
เขาต้องตื่นตีสี่น่ะ ใช่มั้ย ลงทุนนะนั่นน่ะ แล้วไปเดินเอามากินง่ายๆ อย่างเนี้ย เออ
นี่พระนะ ...เฮ้ย กูก็ไม่เสียข้าวสุกเขาแล้ว
ตรวจสอบถึงศีลในตน
ตรวจสอบถึงสมาธิในตน ตรวจสอบถึงปัญญาในตน ตรวจสอบถึงวิมุติในตน นิพพานในตน ...เออ
เขาไม่เสียข้าวสุก เขาไม่เสียแรง
ที่เขาตื่นมา เลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำ
ถวายประเคน นบแล้วนบอีก ไหว้แล้วไหว้อีก โดยที่ไม่ได้ให้ยถาอะไรเขาเลย เขาก็ให้
บุญเขาก็ได้ อานิสงส์เขาก็ได้โดยกลายๆ แล้ว
แต่ถ้ามันมาตรวจสอบตัวเองแล้วมันน่าอายน่ะ
มันน่าละอาย ...แล้วก็ยังอยู่กันแบบไร้ยางอายน่ะ ไม่อายตัวเองก็อายผีอายสาง อายเทวดาบ้าง
อย่ามาอยู่กันไปวันๆ นี่…ถึงจะไม่ได้เป็นพระ
ก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ...ให้คนเขามาด่าทอ ย่ำยี ลบหลู่ ว่านี่หรือนับถือพุทธ...ก็เห็นเท่านั้นน่ะ นี่หรือหือ
อย่างบางคนมันบอกไม่นับถือศาสนาอะไร ทำไมดูจิตใจยังสูงกว่าคนนับถือพุทธอีก ...นี่ ให้เขาดูถูกเอาอีก ล่วงเกินมาจนถึงบรมครู...คือพุทธะ
ก็มันทำตัวกันอย่างนี้
จิตใจเป็นอย่างนี้ พูดคุยกันอย่างนี้ ...มันไม่ได้อยู่ในศีลสมาธิปัญญา
ไม่ได้เพียรพยายามที่จะค้นหาศีลสมาธิปัญญาในตัวเอง
ไม่ได้เพียรที่จะรักษาศีลสมาธิปัญญาของตัวเองไว้
จนศีลสมาธิปัญญาของตัวเองที่รักษาไว้
มันฉายแววออกมา คือแสดงความประภัสสร ...ที่ท่านบอกว่าศีลนี่เป็นเครื่องหอมที่ทวนลม
โดยที่ไม่ต้องไปโฆษณาสาธยายเลย เป็นของหอมทวนลม
นี่ พูดแต่เรื่องศีลนี่แหละ ...ไม่พูดเรื่องนิพพานน่ะ พูดไปมันก็ไม่รู้เรื่อง พูดไปก็เท่านั้นน่ะ
เหมือนกับเอาน้ำรด...หัวตอน่ะ เออ
โยม – นึกว่าหลวงพ่อจะบอกว่าศีรษะ
พระอาจารย์ – เอ้ย ศีรษะน้อยไป
ฟังดูสุภาพไป ...เออ ถ้าพูดถึงเรื่องศีลเรื่องอะไรนี่ เหมือนน้ำราดลงบนดิน ยังพอซึมบ้าง
...แต่ถ้าพูดถึงสมาธิธรรม ปัญญาธรรม หรือวิมุติธรรม ...มันก็ว่า “กูละงง”
แล้วก็ไปฝันเฟื่องเลื่อนลอยในนิพพานเลย อย่างนั้น ...ไม่มีประโยชน์ มันเกินธรรม เกินธรรมแก่ตน ยังไม่ได้อยู่ในชั้นที่จะต้องฟัง
หรือต้องขยายความให้เข้าใจ
ตอนนี้ขยายจนคอเป็นเอ็น...เอ็นนี่ๆ
เอ็นขึ้นนี่...เรื่องศีล ...อย่างอื่นไม่พูด ...จนกว่ามันจะได้ศีล จนกว่ามันจะมีศีล
จนกว่ามันจะรักษาศีลเป็น ...ก็ไม่เห็นมันเป็นนี่
ถ้ามันรักษาให้มีได้ รักษาเป็น รักษาจนเต็ม...จะพูดให้ฟัง
...ไม่อย่างนั้นมันจะเกิดสภาวะที่เรียกว่าคลาดเคลื่อนในธรรม เดี๋ยวมันไปอัพโหลด
แล้วก็ไปดาวน์โหลดให้ผู้อื่น ใช่มั้ย
โยม – ฟังกัน
พระอาจารย์ – หารู้ไม่กูกำลังแจกไวรัส
ใครรับเอาไปนี่ เจ๊ง
โยม – เจ๊ง เครื่องพัง
พระอาจารย์ – บางคนมันไม่ได้ว่าเจ๊ง ...มันเก็บเข้าโฟลเดอร์มันเลยน่ะ
แล้วเป็นโฟลเดอร์ที่ขึ้นหิ้งไว้ด้วย ห้ามลบหลู่นะ ห้ามแตะต้อง ...มันก็เลยไม่เคยเข้าไปแตะเลย
นี่ เอาแค่ศีลตัวเดียวน่ะ...ให้มันตรง
และกล้าที่จะทุ่มเทลงไป ...ท่านถึงบอกว่า
รักษาศีลเท่าชีวิต
หมายความว่า ไม่ว่าจะเป็น
ไม่ว่าจะใกล้ตาย ไม่ว่าจะกำลังจะตาย หรือไม่ว่ากำลังเดือดร้อนแสนสาหัส
ทุกข์ทุรนทุราย บีบคั้นด้วยกิเลสภายนอก-ภายใน
ถูกเหตุการณ์จู่โจม ฮึกโหม ถูกเผาลนด้วยสภาวะโลก สภาวะครอบครัว สภาวะเหตุบ้าบออะไรที่จะเจอในหน้าที่การงานนี่ ...จะต้องอ้างถึงศีล อิงถึงศีล...ให้ถึง..ให้ได้
นั่นแหละคือผู้ปฏิบัติที่แน่วแน่ต่อศีล ...นี่ ต้องการผู้ปฏิบัติที่แน่วแน่ต่อศีล ก่อนที่จะแน่วแน่ต่อนิพพาน ...ถ้าไม่ได้ศีลก็ไม่ได้นิพพาน
ถ้าไม่มีศีลก็ไม่เกิดนิพพาน ถ้าไม่ถึงศีลก็ไม่ถึงนิพพาน
นี่จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ นั่ง..รู้
ยืน..รู้ เดิน..รู้ ขยับ..รู้ ไหว..รู้ อยู่อย่างนี้ รู้มันเข้าไป ...ก้าวเดินแต่ละก้าวนี่
การกระทบ ฝ่าตีนกับผืนดินนี่...ให้มันพอดีกัน ให้มันรู้ทันกัน รู้เท่ากัน เสมอกัน
กายใจนี่เสมอกัน ไม่ให้ล้ำกัน เกินกัน ...ขาซ้ายไปแล้ว
ไปรู้ที่ขาขวายังไม่ก้าวอย่างนี้ หรือขาขวาก้าวแล้ว
ไปรู้ตอนที่ขาซ้ายมันกำลังก้าวอยู่ อย่างนี้ มันไม่พอดีกัน
หรือไม่รู้เลยทั้งซ้ายทั้งขวา แต่เสือกไปรู้ว่า...ไอ้นั่นมันเลิกกับกู กูเลิกกับมึง คนนั้นมันไปเอาคนนี้ ...ไปรู้ทำไม
ไอ้นี่เขาเรียกว่านอกกายนอกใจ นอกศีลนอกสมาธิปัญญา
อย่างนี้เรียกว่าออกนอก..แบบให้อภัยไม่ได้ ...สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมนะ …ถ้าคนอื่นเราไม่ว่า
เขาไม่ได้มาขอเข้าทะเบียนสำมะโนครัวเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ...ช่างหัวมึง
แต่ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมนี่
ถือว่าผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เป็นการแสดงถึงความไม่เคารพต่อศีล บกพร่อง ไม่เคร่งครัด ไม่มัธยัสถ์ในศีล
แต่ว่าไอ้การห้าม หรือการที่ว่าไม่ให้มันเกิดอาการหลงลืม
หรือว่าพลั้งเผลอ ลืมเลือนไปนี่ ...มันห้ามไม่ได้อยู่แล้ว ...แต่อย่าไปเห็นดีเห็นงามไปกับมัน
เมื่อมันเกิดพลาดพลั้งเผลอไป
ต้องรีบเร่ง...กลับที่กลับฐาน...กลับกาย
กลับมาอยู่กับใจ กลับมาอยู่กับปัจจุบัน...อย่างเอาจริงเอาจัง ...นี่ อย่างเอาจริงเอาจังด้วยนะ
ไม่ใช่เอากันเล่นๆ นะ
เพราะกิเลสมันไม่เคยเล่นกับเราหรอก
มันเอาจริงนะ ...กิเลสนี่เขาเอาจริงนะ เขาให้ทุกข์จริง เขาสร้างทุกข์จริง
เขาสร้างสุขให้จริง เขาสร้างเรื่องหลอกลวงจริงตลอดเวลา
เขาจริงจังนะ...ในการสร้าง ในการปรุง ในการแต่งนี่
...เขาไม่ได้มาแกล้งเราเล่นๆ นะ เอากันจนตาย-เกิดๆๆ เป็นนับภพนับชาติไม่ได้...ไม่ใช่เล่นๆ
กันนะ
แต่ศีลสมาธิปัญญาของเรา มาทำกันเล่นๆ
ได้ยังไง...กิเลสเขาไม่เล่นด้วยน่ะ ...เมื่อทันเมื่อไหร่ก็ละกันตรงนั้น
แล้วกลับมาอยู่ในที่ตรงนี้...พอดีกัน
อย่าเบื่อ อย่าถอย อย่าท้อ อย่าเลี่ยง
ในการประกอบการงานอันชอบเช่นนี้ เรียกว่าการงานอันชอบในองค์มรรค...โดยมีสตินี่เป็นตัวประคับประคอง
เป็นพี่เลี้ยงนางนม
เพราะว่าจิตนี่
มันจะออกไปปรุงแต่งขันธ์ได้นี่ มันออกไปใน ๔ ลักษณะช่องทาง...คือ กาย เวทนา จิต
ธรรม ...การปรุงแต่งขันธ์น่ะ จะออกมาลักษณะใหญ่ๆ อย่างนี้
โดยภาพรวมนี่...เป็นกายบ้าง เป็นลักษณะกายรูปบ้าง เป็นลักษณะกายสังขารเป็นใหญ่บ้าง หรือเป็นลักษณะเวทนาเป็นใหญ่ พอใจ-ไม่พอใจบ้าง
หรือเป็นลักษณะของจิต ฟุ้งซ่านกระจาย
สภาวะจิตอย่างนู้นอย่างนี้บ้าง และเป็นลักษณะของธรรมารมณ์ อารมณ์ดี-ไม่ดี
อารมณ์ขุ่น อารมณ์ผ่องใสเบิกบาน กุศลธรรม อกุศลธรรมบ้างนี่
นี่คือช่องทางออกของจิตที่ออกไปปรุงแต่งขันธ์
...อวิชชามันออกไปปรุงแต่งขันธ์ใน ๔ ฐานนี่แหละ
(ต่อแทร็ก 17/21 ช่วง 2)