พระอาจารย์
17/31 (580109D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
9 มกราคม 2558
พระอาจารย์ – มันอดไม่ได้ที่จะกระโดดเข้าไป คว้า จับ หมาย
จริงจัง เอามาเป็นธุระ เอามาเป็นอารมณ์ต่อน่ะ ...นี่คือความคุ้นเคย
ไอ้ความคุ้นเคยนี่
ท่านเรียกว่าเป็นอนุสัย เป็นสันดาน ...แต่ศีลสมาธิปัญญานี่
เป็นตัวที่แก้อนุสัยสันดาน ที่เรามันจะน้อมเข้าไปในจิตอยู่เสมอ
แม้กระทั่งไม่มีเรื่องเลย
มันก็ยังอยู่โดยลำพังไม่ได้โดยกายใจ มันก็ยังสร้างเรื่องขึ้นมาเองน่ะ ถึงไม่ได้กระทบอะไร ไม่มีอารมณ์อะไร
มันก็สร้างความคิดความนึกขึ้นมา
มันต้องฝืน ฝืนด้วยการละวาง ...แต่ไม่ใช่ว่าไปดับมัน อย่าไปทำให้มันดับนะ อย่าเข้าใจว่าการละวางคือการทำให้จิตดับนะ...ไม่ใช่ หรือไปทำให้เรื่องราวในจิตดับ...ก็ไม่ใช่
นี่ใช้คำว่าละวาง คือ ไม่แยแสมัน ทั้งดี-ทั้งร้าย
ทั้งถูก-ทั้งผิด ...ไม่แยแสมัน ถอย แล้วมาตั้งอยู่ที่ที่มีอยู่จริง ...กายที่มีอยู่ตรงปัจจุบัน
ถือว่าเป็นกายที่มีอยู่จริง
เพราะนั้นก็ถอยจากสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
มาอยู่กับที่ที่มีอยู่จริง นี่คือที่ตั้งแห่งศีล...ตัวศีลมีอยู่จริง ก็มาจับไว้
แล้วทีนี้เราก็มาทำความชำนิชำนาญในศีล
อย่างที่ว่านี่คือเพื่อให้เกิดความชำนิชำนาญในศีล ซึ่งจะเป็นบาทฐานให้เกิดสมาธิ
เพราะนั้นในการรู้กาย
เมื่อยังไม่ชำนาญในกายในศีลนี่ มันก็ไปรู้ตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง รู้แบบความรู้สึกโดยรวมบ้าง อะไรบ้าง นี่เรียกว่ายังไม่ชำนาญในศีล ที่จะรักษาศีล เจริญในศีลอย่างไรจึงจะเป็นเหตุให้เกิดสมาธิ
พอมันทำจนชำนาญ
หรือว่าโดยได้รับคำชี้แนะ แล้วไปทำ ...ตรงนี้ มันจะเกิดการเข้าถึง
เป็นเหตุให้เกิดสมาธิได้ง่าย ได้เร็วขึ้น
สังเกตดูสิ
เวลาพวกเรานั่งอย่างนี้แล้วจับลงที่ความรู้สึกที่ก้นนี่ อยู่ได้แพลบๆ แพลบๆ ใช่ไหมล่ะ จิตกระโดดไปกระโดดมาใช่ไหม
แล้วมันจะมีความรู้สึกไม่อยากอยู่
นี่ มันอยากหาอะไรใหม่ๆ มันชอบอะไรใหม่ๆ …ใหม่ๆ ก็คือเกิดขึ้นมาจากการปรุงขึ้นโดยจิต
เป็นอารมณ์บ้าง เป็นความคิดบ้าง อย่างนั้น
ก็ฝืนทวน ฝืนทวนลงมา ได้เป็นขณะๆ ไป
แล้วก็พยายามรักษาให้มันต่อเนื่องไป นั่นคือหน้าที่ของผู้ปฏิบัติ ...ไม่มีเรื่องอื่น
ไม่เอาเรื่องอื่น ไม่คิดเรื่องอื่น ในการปฏิบัติ ไม่คิดเรื่องอื่นเลย
ว่าวิธีการไหน วิธีไหนดี วิธีไหนถูก
โยม – หลวงพ่อคะ เคยนั่งฟังเทศน์แล้วง่วงมากอย่างนี้ค่ะ
ต้องทำยังไงคะ
พระอาจารย์ – บอกแล้วว่าจิตที่ไม่ตั้งมั่น
ไม่สามารถเอาชนะถีนมิทธะได้หรอก ...ก็เปลี่ยนอิริยาบถ ถ้ามันอยู่คนเดียวน่ะ เดิน...เดินให้มาก เดินไปเดินมา
เวลาเดินเอาเท้ากระทบพื้นแรงๆ ให้มันรู้สึก กึกๆๆ แล้วก็จ่อไว้จรดไว้กับไอ้กึกๆๆ นั่น ...ให้แน่น ให้มั่น เพ่งจ้องลงไป เดี๋ยวมันก็หายง่วงหายมัวเอง ...มันมัว ซึมเซา
มันติดทุกคนแหละ
ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งหรอก ถีนมิทธะน่ะ เดี๋ยวมันก็ค่อยๆ คลายไปเอง
ถ้าจิตมันตั้งมั่นได้
แต่คราวนี้ที่มันตั้งมั่นไม่ได้ เพราะมันทำไม่ถูก
ไม่ถูกต่อศีล ไม่ถูกต่อสมาธิ ...มันก็ตั้งมั่นไม่ได้สักที มันก็ง่วงซึมอยู่ตลอดเวลา
แต่พอมันมาตั้งมั่นได้เป็น
ตั้งมั่นได้โดยกำหนดเจริญในศีลได้ถูกต้องแล้ว...นี่ สมาธิที่แท้จริงเกิดขึ้น ...ทีนี้ถีนมิทธะไม่เกิดแล้ว จะไม่ค่อยเกิดแล้ว
มันจะเกิดขึ้นตราบเท่าที่โยมยังไม่เข้าไปถึงสัมมาสมาธิ
เข้าใจไหม ...เพราะนั้นโยมอย่าไปหาวิธีแก้ อย่าไปหาว่าจะทำให้หายง่วงด้วยวิธีไหน...ไม่มีอ่ะ
ทำยังไงให้สติเยอะๆ ศีลเยอะๆ กายเยอะๆ เข้าใจมั้ย แล้วมันถึงสมาธิ …ถึงสมาธิเมื่อไหร่ ไม่มีนิวรณ์ ถีนมิทธะไม่มี
หรือมีขึ้นมาก็สามารถตั้งมั่นรู้เห็นจนมันสลายได้
แต่ตราบใดที่ยังไม่เข้าถึงสมาธิที่แท้จริงนี่
ยังไงก็ง่วงน่ะ ยังไงก็ฟุ้ง ยังไงก็ปรุง ...ก็ต้องมาฝึกฝืนๆ เอากับกายนี่แหละ
สติในกายนี่แหละ บ่อยๆ บ่อยๆ แล้วก็รักษาให้ต่อเนื่อง จนมันรู้เองน่ะ
โยม – อาจารย์ครับ มันจำเป็นไหมที่จะต้องคงสติกับตรงไหน ...หรือว่าไม่เลือก
พระอาจารย์ – ไม่เลือกธรรม
โยม – ไม่จำเป็นต้องส่งลงมาใช่ไหม
พระอาจารย์ – ไม่ต้องส่ง มาไง..มางั้น เป็นไง..เป็นงั้น ...ตั้งมั่นเฉยๆ เป็นกลาง มาก็มา มีก็มี เป็นก็เป็น ไม่เป็นก็ไม่เป็น ไม่มีก็ไม่มี ...อยู่เป็นกลาง แล้วรายละเอียดมันก็มาของมันเองน่ะ
มันก็เป็นไปตามธรรม
ที่มันจะเรียนรู้ธรรมที่ละเอียดขึ้นไปเอง เมื่อถึงคราวละเอียด คราวหยาบมันก็เรียนรู้เรื่องหยาบ คราวละเอียดมันก็เรียนรู้เรื่องละเอียด ...มันก็เป็นไปตามความพร้อมของศีลสมาธิปัญญา
โยม – พระอาจารย์คะ
ที่พระอาจารย์บอกว่าเรื่องการไปถึงจิตหนึ่งธรรมหนึ่งนี่
คือมันมีการเป็นกลางในธรรมปุ๊บนี่ ธรรมทั้งหลายนี่ จริงๆ มันแค่ไร้ความหมาย
มันก็มีแค่ว่าเป็นธรรมที่ไม่ได้ให้ความหมายแค่นั้นเอง แต่ว่าตัวจิตนี่เขาก็จะอยู่ของเขา
ใช่ไหมคะ เพราะนั้นหนูก็เน้นตรงที่พระอาจารย์ว่า มันเหมือนกับมันจะต้องอยู่กับเวทนาที่มันมากนี่
คือหนูเข้าใจว่าตรงนั้นนี่ คือตัวเวทนามันไม่ได้มาว่าเป็นเวทนา
พระอาจารย์ – คือเป็นผลสืบเนื่องมาจากกายนั่นแหละ เวทนานี่ ...เวทนาในกายก็คือผลสืบเนื่องจากธาตุ
แต่เวทนาทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส
คือเวทนาที่สืบเนื่องจากขันธ์ มันคนละเวทนากัน ...เพราะนั้นไอ้ตัวเวทนาที่สืบเนื่องมาจากขันธ์นี่
มันจึงเป็นเวทนาของเรา
แต่คราวนี้พวกเรายังไม่แจ้งในเวทนาขันธ์
แล้วไม่แจ้งทั้งเวทนากาย ...มันจึงไปเหมาเอาเวทนากายเป็นเวทนาเรา ...แต่เมื่อใดที่มันเห็นว่าเป็นเวทนาที่เนื่องด้วยธาตุ
ไม่ใช่เรา มันก็จะไม่มีเราในเวทนากาย
เพราะนั้นมันจะมีเวทนาเราต่อเมื่อมันเป็นขันธ์ขึ้นมา
คือมันปรุงแต่งขันธ์ขึ้นมาแล้วมาครอบกาย มันก็ครอบรวมเวทนาไปด้วย ...มันเลยเป็นความรู้สึกของเวทนาแห่งเรา
แต่มันเป็นเวทนาแห่งขันธ์
เป็นเวทนาขันธ์ ไม่ใช่เวทนากาย ...ถ้าเวทนากายเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากกายธาตุ
มันสลาย มันเสื่อม มันเปลี่ยน มันไม่คงที่ มันไม่คงตัว
เพราะนั้นความสลาย
ความไม่คงตัวของธาตุมันก่อให้เกิดเวทนา
คือความรู้สึกทางกายในแง่ที่เป็นทุกข์แค่นั้นเอง ...แต่ว่ามันเป็นเวทนาธาตุเวทนาธรรม
ไม่ใช่เวทนาขันธ์
เพราะมันมาจากธาตุ มันก็เป็นเวทนาธาตุน่ะสิ
มันจะเป็นเวทนาเราได้ยังไง มันก็เป็นเวทนากาย ...แต่ถ้าเป็น "กายเรา" เมื่อไหร่
เวทนานี้จะเป็นเวทนาเราทันที
แล้วมันก็ไม่รู้จัก ไม่แยกแยะในธรรม ไม่แจกแจงธรรม ปั๊บ มันก็ไปเหมารวมขันธ์กับกายนี่เป็นอันเดียวกัน มันก็เลยเหมาเอาเวทนาเป็นของเราไปด้วย
ถ้าตั้งมั่นเมื่อไหร่แล้วมันจะเห็นเอง
มันจะเกิดความจำแนกธรรม แยกแยะธรรมให้เห็น เป็นคนละส่วนๆ ไป ...แต่คราวนี้ว่าไอ้ตัวเวทนาธาตุนี่เป็นสิ่งที่จิตน่ะมันยึดมาก
มันไม่ยอมถอนง่ายๆ หรอก
เรียนรู้ไปเองน่ะ
ในความเป็นจริงของเวทนา ก็เรียนรู้ไปพร้อมๆ กันเองนั่นแหละ ...ถ้ามันยิ่งเห็นกายเป็นธาตุมากเท่าไหร่ เวทนาก็จะเป็นธาตุมากเท่านั้นน่ะ
โยม – ตอนแรกเมื่อก่อนนี้มันเหมือนกับมันไม่เข้าใจว่ามันดับหรือว่ามันมี
แบบว่าเรารู้ว่าไอ้ตัวเวทนามันเห็นว่า เออ มันมีความดับ มันเหมือนกับ...คือมันแทนที่กันทันทีเลย พอมันตั้งมั่นปุ๊บ อันนี้ก็เหมือนกับมันเป็นกลางไปเลย
ใช่ไหมคะ
พระอาจารย์ – จริงๆ เวทนานั่นมันเป็นเวทนาหลอก จริงๆ มันไม่มีหรอก
เป็นเวทนาเรามันหลอกขึ้นมาเฉยๆ เท่านั้นแหละ เขาเรียกว่าโรคประสาท
มันก็เลยรู้สึกเป็นกายมีเวทนาขึ้นมา ...จริงๆ มันไม่มีหรอก
พอไปทำ ไปหลงวนกับมันมาก
ก็เลยสำคัญว่านี่เป็นเวทนากายขึ้นมา แล้วพอไม่สนใจมันก็หายไป ...แต่ถ้าเป็นเวทนากายจริงๆ
ไม่หายหรอก
มันไม่ได้หายเพราะการกระทำ
ไม่ได้หายเพราะการเพ่งจ้อง ไม่ได้หายเพราะศีลสมาธิปัญญา ...ไม่หายน่ะ เวทนาจริงๆ นี่ไม่หาย
...แต่ถ้าเวทนาปลอมน่ะหายหมด เวทนานอก
เวทนาใน
โยม – ที่นานมาแล้วที่พระอาจารย์เคยบอก มีคนถามว่า
พระอรหันต์ยังจะเจ็บอยู่รึเปล่า แล้วพระอาจารย์ว่ามี มีคนกดก็ยังร้องอยู่เลย
พระอาจารย์ – ไม่เจ็บก็มีแต่คนตายน่ะ ...พระอรหันต์ยังไม่ตายก็เจ็บ ก็ปวด ก็เมื่อย ...หลวงปู่ท่าน หลังๆ ท่านก็ยังนั่งขัดสมาธิเพชรไม่ได้เลย มันเมื่อย ปวด เนี่ย ทำไมท่านจะไม่มีเวทนา หือ
แต่นั่นเป็นเวทนาของมัน ไม่ใช่เวทนาของท่าน ...ของธาตุ เป็นเวทนาของธาตุ ไม่ใช่ของเรา ...ท่านก็ไม่เอามาเป็นภาระ
โยม – พระอาจารย์คะ แล้วถึงจุดอย่างนี้ ที่สามารถแยก
อย่างแบบ...ลอยตัวออกมาในตัวรู้กับขันธ์น่ะค่ะ มันสามารถเห็นได้ใช่ไหมคะ
พระอาจารย์ – เห็น มีปัญญามากมันก็เห็นเองน่ะ ขันธ์ห้าส่วนขันธ์ห้า กายใจส่วนกายใจ ...จนกว่ามันจะหมดสิ้นกระแสโยงใยกันน่ะ
ถ้ามันตัดกระแสที่มันมีเยื่อมีใย
มีโยงมีใยกับขันธ์ห้าได้ มันก็ขาด ขันธ์ห้ามันก็ขาดหลุดลอยไป …แต่ตราบใดที่มันยังเป็นขั้นลอย แต่ยังไม่ขาดสิ้นเยื่อใยโยงใยนี่ ...เดี๋ยวมันก็ดึงเข้ามาเกลือกกลั้วกัน
ก็ทำไป ละไป ตัดไป ทอนไป ลดไป ...มันก็ค่อยๆ ขาดไป สั้นไป สะบั้นไป หลุดไป จนขันธ์ห้ามันหลุดลอย ไม่หวนคืน
เพราะไม่มีโยงใย
เพราะธรรมชาติของกายกับใจนี่
มันไม่โยงใยกับอะไรอยู่แล้ว เป็นเอกธาตุเอกธรรม เป็นบริสุทธิ์วิสุทธิธรรม
ไม่โยงใย ไม่มีเยื่อใยกับอะไรเลย ...กายใจไม่เคยมีเยื่อใยกับอะไรเลย
มีแต่ขันธ์ห้านี่ มันมีเยื่อ มันมีใย มันทิ้งแล้วมันก็ยังเหลือเยื่อใยอยู่ …ทีนี้มันก็มามั่วเอาตอนที่มันรวมเอากายใจเป็นขันธ์ห้าด้วย
แล้วมันก็เลยเกิดความสับสนไปหมด เป็นเรา เป็นทุกข์ในเรากับกายบ้าง
โยม – ถ้าเช่นนั้นจริงๆ นี่
ตัวขันธ์เขาก็ทำงานไปใช่ไหมคะ
พระอาจารย์ – ถ้ามีกาย...ก็มีขันธ์
โยม – ค่ะ แต่ว่ามันจะมีบ้างว่ามันไปรวมเป็นเราหรือเปล่าแค่นั้นเอง เพราะนั้นที่ตรงนี้จึงจะเรียกว่าเป็นขันธ์บริสุทธิ์หรือคะ
พระอาจารย์ – จะเป็นขันธ์อันบริสุทธิ์ได้นี่คือเป็นพระอรหันต์
โยม – คือไม่ใช่จริงๆ ว่าไม่มีขันธ์ใช่ไหมคะ
พระอาจารย์ – มี ทำไมจะไม่มี ...ท่านเรียกว่าธรรมขันธ์ ไม่ใช่กิเลสขันธ์ ไม่ใช่ขันธ์ของกิเลส เป็นธรรมขันธ์ ...ส่วนกายใจที่ดำรงคงอยู่ก็คือเป็นศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์
กายใจนี่จะเป็นศีลสมาธิปัญญาที่เป็นขันธ์...เหมือนกับเป็นขันธ์ แต่ว่าเป็นขันธ์ที่เรียกว่าเป็นศีลขันธ์ สมาธิ...ใจที่ตั้งมั่นเป็นกลางอยู่กับผู้รู้
ท่านเรียกว่าว่าเป็นสมาธิขันธ์
นี่ ที่มันดำรงอยู่กับกายใจนี่
จะเป็นศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ ...ส่วนขันธ์การปรุงแต่งด้วยการคิดนึกอารมณ์นี่
ท่านเรียกว่าเป็นธรรมขันธ์ ธรรมธาตุธรรมขันธ์
โยม – แล้วทั้งสองส่วนนี้ ตัวกายกับตัวขันธ์ตรงนี้...
พระอาจารย์ – เป็นเอกเทศ แยกจากกันโดยสิ้นเชิง
โยม – แล้วมันเป็นทุกขสัจเหมือนกันไหมคะ
พระอาจารย์ – ไม่เป็นหรอก ไม่มีอ่ะ...ไม่มี หมด
ไม่มีทั้งอริยสัจ ไม่มีทั้งมรรค ไม่มีทั้งศีลสมาธิปัญญา ...ไม่มี ไม่มีเหลือ
เอ้า พอ
...................................