วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 17/27


พระอาจารย์
17/27 (580101D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
1 มกราคม 2558


พระอาจารย์ –   ฝึกฝืนๆ อยู่อย่างนี้ เดินไปรู้ไป ...รู้บ้างไม่รู้บ้าง ก็ยังดีกว่าไม่รู้เลย นะ ...ไอ้ที่ไม่ตั้งใจจะรู้เลยนี่ก็ไม่ดี ไอ้ตั้งใจแล้วรู้ได้ไม่นานก็ยังดีกว่าไม่ตั้งใจรู้

รู้บ้างไม่รู้บ้าง... ถึงไม่รู้มากกว่ารู้...ก็ยังดี เพราะมันมีความตั้งใจอยู่ที่จะรู้ว่ากายกำลังทำอะไร ...แล้วก็ค่อยๆ ดีขึ้นไปเองแหละ ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ...อย่าทิ้งความตั้งใจที่จะรู้กับตัวเอง

แล้วมันจะพัฒนาขึ้น...จากลืมมากกว่ารู้ หลงมากกว่ารู้ ...ก็เป็นรู้มากกว่าหลง รู้มากกว่าลืม  กายอยู่มากกว่ากายหาย ...ก็ให้มันได้พัฒนาขึ้น

แล้วมันจะรู้รับผลได้เอง ...ยิ่งรู้อยู่กับตัวเท่าไหร่ จิตจะมั่นคงขึ้นเท่านั้น จิตจะไม่แส่ส่าย จิตจะไม่หวั่นไหวไปกับรูปเสียงภายนอก...ตั้งแต่เล็กน้อยยันใหญ่โต

แล้วจากนั้นไป มันก็จะเรียนรู้ในการจะละวางอารมณ์ภายใน...ที่เกิดขึ้นจากความพอใจบ้าง-ไม่พอใจบ้าง ...มันก็จะเห็นต้นสายปลายทาง

แล้วก็จะละได้โดยศีลสมาธิปัญญา ว่า...การละการวางอารมณ์ก็คือต้องกลับมาอยู่กับกายใจ ...ถ้ายังไม่รู้จักว่าใจอยู่ที่ไหน ก็ต้องกลับมาอยู่ที่กายปัจจุบัน

ถ้าไม่รู้จักความรู้สึกในกายปัจจุบันอยู่ตรงไหน ก็ต้องกลับมาอยู่กับท่าทีอิริยาบถภายนอกของปัจจุบันกาย  เช่นนั่ง หรือนอน หรือยืน หรือเดิน ...เนี่ย มันก็มีพัฒนาการของศีลมาเอง

ถ้ากลับมาอยู่กับความรู้สึกในกายได้ มันก็อยู่กับความรู้สึกในกายมั่นคงขึ้น ...ถ้ากลับมาอยู่กับความรู้สึกในกายไม่ได้ ไม่รู้ ไม่ทัน ไม่เห็น ก็กลับมาอยู่กับท่วงท่าอิริยาบถภายนอก คือยืนเดินนั่งนอน

เมื่ออยู่กับท่วงท่าอิริยาบถก็จะเห็นว่า มันจะละวางอารมณ์ได้อย่างหลวมๆ ...แต่ถ้ามาจับกับความรู้สึกอย่างแนบแน่นในความรู้สึกของอิริยาบถยืนเดินนั่งนอน การละการวางอารมณ์จะเป็นอย่างเด็ดขาดกว่า 

แล้วถ้าสมมุติว่ามาลงที่ใจได้ อารมณ์เข้าไม่ถึงเลย ...นี่ เหมือนกับน้ำกับน้ำมัน...ถ้ามันถึงใจนะ ถ้ามันจับใจได้ เรียกว่าสมาธิ มหาสมาธิ ...เหมือนน้ำกับน้ำมันเลย 

โลกกับใจนี่ ความเป็นไปของสัตว์บุคคลในโลกนี่...เหมือนน้ำกับน้ำมันเลย มันไม่มีทางแทรกซึมเข้าได้เลย

แต่ถ้าออกมาถึงกายท่วงท่า หรือว่ากายสมมุติ กายธาตุแล้วนี่ ...มันจะมีความฉาบทาๆ อยู่  มีความว่า เดี๋ยวปึ๊บ ไปอีกแล้ว เดี๋ยวไหลอีกแล้ว เดี๋ยวหลง ...จิตมันยังได้ช่องได้ง่าย

นี่ ก็ฝึกไป ก็เรียนรู้ตัวของมันไป...ว่าศีลสมาธิปัญญาระดับไหนมันเพียงพอกับกิเลสระดับไหน ศีลสมาธิปัญญาระดับไหนเพียงพอกับอารมณ์ขนาดไหน...ในการละวาง

จนมันไม่มีกิเลสจะมาทานทนต่อศีลสมาธิปัญญาได้ นั่นก็ที่สุดแล้ว ...ฝึกไปเหอะ

เอ้า มีอะไรถามมั้ย ...ทำกันมั่งรึเปล่านี่ สองคนนี่ หือ


โยม –  ทำบ้าง เวลาเดินอะไรอย่างนี้ครับ เวลาเดินระหว่างกลับบ้านอย่างนี้ครับ

พระอาจารย์ –  ในการทำงานน่ะ มันมีอิริยาบถใหญ่อยู่สองอิริยาบถอยู่แล้ว เข้าใจมั้ย เดินกับนั่ง ...ทีนี้เดินน่ะมันรู้ เพราะว่าเราตั้งใจที่จะรู้อยู่แล้ว

แต่เวลานั่งเราไม่ค่อยตั้งใจที่จะรู้ ไม่ตั้งใจที่จะสืบค้นว่า ความรู้สึกในการนั่งนี่เป็นยังไง ...เพราะนั้นให้พยายาม ให้หาความรู้สึกของการนั่งให้ได้ และให้จำ...จำไว้ว่าเวลานั่งแล้วรู้สึกยังไง

เพราะเวลานั่ง ส่วนมากที่นั่งมันก็มีพนักพิง เข้าใจมั้ย จับความรู้สึกไว้ จับความรู้สึกที่หลังพิงพนัก มันรู้สึกยังไง ระหว่างหลังกับก้น มันเป็นแผ่นเดียวกัน

มันจะเป็นความรู้สึกเป็นแผ่น เป็นเหมือนแผ่น ไม่ต้องออกชื่อนะว่าอะไรยังไง ...ดู ดูความเป็นแผ่น แผ่นทึบๆ น่ะ ถ้ามองลงไปตรงนั้นก็จะเห็นเป็นแผ่นทึบๆ เป็นก้อนทึบๆ ตึงๆ แผ่นตึงๆ

ถ้ามันมองเห็นเป็นแผ่นทึบๆ ตึงๆ นี่ ...ลักษณะที่มันเห็นเป็นแผ่นทึบๆ นี่ มันเป็นลักษณะที่ใกล้เคียงกับวัสดุ หรือวัสดุที่เป็นของแข็งไหม อย่างนี้ ให้สืบค้นลงไป มองอย่างนี้

ให้จดจำและสังเกต เพราะนั่งทุกครั้งก็จะเป็นความรู้สึกอย่างนี้ๆ ไม่เปลี่ยน ...ทีนี้ก็จับไว้เบาๆ ไม่ต้องแรง เพราะถ้าจับแรงมันทำงานภายนอกไม่ได้ จับแรงปุ๊บนี่ มันก็จะทุ่มเทลงมาร้อยเปอร์เซ็นต์นี่ ภายนอกไม่รู้เรื่องเลย

แต่ถ้าจับแบบแตะๆ หยั่งๆ ไว้  มันก็ทำงาน เขียนหนังสือ อ่านหนังสืออะไรได้ พูดคุยได้ นี่ ...ก็ค่อยทำความชำนาญในการถือศีลไว้ ทำงานภายนอกไปด้วย อย่าละเลย เดี๋ยวมันชำนาญเอง

ทีนี้เมื่อมันจำได้ในท่าหลักๆ เดี๋ยวมันก็อยู่ได้ง่าย...จะอยู่กับมันได้ง่ายขึ้น ไม่ยาก ไม่เป็นคนขี้เบื่อ ...ถ้าอยู่กับมันได้นานขึ้น ได้ง่ายขึ้น มันจะไม่ค่อยเป็นคนขี้เบื่อ มันก็จะคุ้นเคย

พอคุ้นเคยแล้วมันก็จะยั่งยืน ศีลเกิดความยั่งยืน ความปรากฏแห่งกายก็เกิดอย่างยั่งยืนขึ้น ไม่หายไปง่ายๆ สติมันก็ผูกไว้ สัมปชัญญะมันก็หน่วงไว้ให้มันปรากฏอย่างยั่งยืน จิตก็จะมั่นคงไปตามลำดับ มั่นคงขึ้นไป

ฝึกอยู่อย่างนี้ ทำอยู่อย่างนี้  ไม่ต้องไปคิดว่าจะต้องอะไรมาก ไปค้นหาอะไร วิธีการปฏิบัติอะไร ...ก็แค่นี้ คอยหยั่งคอยดูความรู้สึกในกายตัวเอง ตรงไหนมันชัดก็จับไว้ อยู่อย่างนั้นไว้ ถือไว้ ครองไว้

ส่วนใดที่เป็นอารมณ์ เมื่อรู้ว่ามีอารมณ์อะไรขึ้นมานี่ ...อย่าไปเอามัน อย่าไปจริงจังกับมัน ปัดทิ้งเลย  จะหงุดหงิด จะขุ่นข้อง จะพอใจ-ไม่พอใจ จะรำคาญ พวกนี้ จะเป็นอารมณ์รูทีน

มันเป็นอารมณ์รูทีนระหว่างทำงานหรือพบเจอผู้คน...รำคาญ เบื่อ เซ็ง หงุดหงิด ไม่อยากเห็น ไม่อยากคุย อะไรอย่างนี้ มันเป็นอารมณ์ที่มันขึ้นมา ...ให้เห็น แล้วอย่าไปตาม อย่าไปอยู่กับมัน

ไม่ใช่ห้ามมัน ไม่ใช่ห้ามไม่ให้มันเกิดนะ มันต้องเกิดอยู่แล้วแหละ  แต่ว่าเมื่อรู้แล้วว่ามันเกิดอารมณ์หรือมีอารมณ์นี้อยู่ ...อย่าไปอยู่กับมัน ให้มาอยู่กับกาย


โยม –  เหมือนเวลาเกิดอารมณ์อะไรพวกนี้ แล้วพอเรากลับมาดูตัวเองน่ะครับอาจารย์ มันเหมือนเราแค่ไม่มองมัน แต่มันยังอยู่ตรงนั้นตลอดเลยครับ

พระอาจารย์ –  ช่างมัน


โยม –  แล้วพอพลาดปุ๊บ มันก็กลับมาตลอดเวลาอย่างนี้ครับ

พระอาจารย์ –  คืออย่าไปยุ่งกับมัน ...มันจะหาย หรือมันจะไม่หาย ...มันจะคา นั่นน่ะเขาเรียกว่ามันคา เช่นว่ากลับมาอยู่กับกายแล้วมันยังไม่หายไปไหนใช่ไหม อารมณ์น่ะ

เนี่ย เรียกว่ามันยังคาข้องอยู่ แต่ว่าเราไม่ต้องไปข้องกับมัน  มันจะคาเหมือนดาวค้างฟ้าอย่างนั้น...ก็ช่างหัวมัน


โยม –  บางทีคาเป็นวันเลยครับ

พระอาจารย์ –  เออ ช่างมัน อย่าไปให้กำลังกับมัน คืออย่าไปตบตีมัน อย่าไปไล่มัน แล้วก็อย่าไปนอนอยู่กับมัน ...นี่ เรียกว่าถอยจากมัน แล้วมาอยู่ตรงนี้ หาตรงไหนก็ได้ ที่เป็นกายนี่ เป็นที่อยู่

นี่เขาเรียกว่าอยู่กับศีล ภาษาพระเรียกว่าอยู่กับศีล...ไม่อยู่กับกิเลส ... ถ้าส่วนอารมณ์นี่เราเรียกว่ากิเลส  ถ้าไปอยู่กับกิเลสแล้วเดี๋ยวมันยืดยาวยิ่งกว่านี้  จากที่เป็นวันนี่...จะข้ามชาติไปยังได้เลยนะ

ไม่ใช่แค่เป็นวันเป็นปีนี่ว่านาน ...ไม่นานนะ  เป็นวัน เป็นเดือนนี่ ถือว่าไม่นานนะ ยังเห็นว่าหายได้น่ะ ...แต่ถ้าไปหมกมุ่นจมปลักอยู่ในนั้นน่ะ มันพาข้ามภพข้ามชาติเลย 

เกิด-ตายกันไม่รู้ว่ากี่ชาติ...ก็เพราะว่าคาแค่อารมณ์นี่แหละ ...แค่รักมึงนี่ แค่ความรักในตัวมันที่เห็นนี่ แค่จุดนี้แค่นี้ พาวนเวียนมาหากัน มาเจอกันนี่เป็นแสนๆ ชาติเลย 

ไม่ใช่เรื่องเล่นนะ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย แค่อารมณ์แค่นี้นะ ...แค่อารมณ์แค่นี้เองเหรอ...เราบอกให้เลย...ใช่  ความผูกพันในอารมณ์แค่นิ๊ดเดียวนี่ พาเกิดตายได้นับแสนล้านชาติเลย

เพราะนั้นการที่เราเห็นว่าคาแค่ชั่วโมง-สองชั่วโมง  แล้วยังเห็นว่า..เออะ เดี๋ยวก็หายไป ดับไป...นี่ ถือว่า ชำระภพชำระชาติได้หลายแสนหลายล้านชาติไปแล้ว

ถึงบอกว่า อย่าประมาทในธรรม ว่า...โหย แค่นี้เอง ไม่เห็นได้อะไรเลย ...เนี่ย มันยังไม่รู้น่ะว่าชำระยังไง มันไม่มีนัมเบอร์ ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่า นี่ มันละได้เป็นแสนๆ ชาติเลยนะ 

เหมือนกับการเกิดตายๆ ของพวกเรานี่...โอ๋ย มันไม่มีประมาณการณ์เลย ไม่มีคำว่ารันนิ่งนัมเบอร์ นับใส่หมายเลขได้เลย ...แล้วยังจะเพิ่มที่ไป ที่หมาย ที่มั่น กันอีกไม่มีประมาณ เนี่ยนะ

เพราะว่าไอ้ความนึกคิดต่างๆ นี่...ที่ดูเหมือนไม่มีอะไร  ดูเหมือน..."เอ๊ย เป็นเรื่องธรรมดา"  นี่...มันไม่ธรรมดาเลยน่ะ กิเลสไม่ธรรมดาหรอก ...ไม่เคยธรรมดาเลย

แล้วเราก็ไปคุ้นเคยกับมันอย่างยิ่ง นั่นแหละ...จนคุ้นเคยกับมันอย่างยิ่ง นั่นแหละ …ก็ต้องพยายามไม่คุ้นเคยกับมัน แล้วมาคุ้นเคยกับศีล มาคุ้นเคยกับกายตัวเองมากๆ ให้ได้ ...นิดนึงก็เอา

เพราะว่า เวลาเราทำอย่างนี้ คนอื่นเขาไม่รู้หรอก เข้าใจมั้ย ไม่มีใครรู้ ...มันไม่มีนัมเบอร์โชว์ว่ากูกำลังภาวนา มึงห้ามเข้าใกล้ ห้ามยุ่งกับกู...ไม่ใช่ ...มันไม่มี ไม่มีใครรู้หรอก


โยม –  แต่ว่าการที่เราอยู่คนเดียว ไม่ข้องเกี่ยวกับใครเลย ก็จะดีกว่าไหมครับ

พระอาจารย์ –  ก็บอกว่ามันเอื้อ...การไม่คลุกคลี การไม่ข้องแวะกับผู้คนนี่ หรือว่าสืบเนื่องกับบุคคลน้อย ...ไม่เป็นพวกโซเชียลแมน พวกสังคมนิยม ชุมนุมในสังคม พบปะสังสรรค์

คนเยอะเท่าไหร่ เรื่องเยอะเท่านั้น ให้สังเกตดูเหอะ  คนน้อยเท่าไหร่ เรื่องก็น้อย พัวพันกันน้อย  ถ้าไม่ไปพบปะใครเลย ยิ่งดี ...แต่มันทำไม่ได้ มันยังไม่ใช่เวลา มันเป็นเวลาที่ยังต้องอยู่ในชุมชน

แต่ว่าอย่าพยายามไปสนับสนุนให้มัน มีเท่าไหร่ก็มีเท่านั้นน่ะ ...อย่าไปเพิ่มกว่านั้น อย่าไปเห็นดีเห็นงามกับการมีญาติสนิทมิตรสหายเยอะ ...จำกัดไว้

และไอ้ที่มีอยู่แล้วก็...get rid ได้ ก็ get rid ออกเถอะ  ถ้ามันไม่จำเป็นจะต้องไปอะไรกับเขามาก ก็ห่างไปๆ  ไม่ต้องไปแบบ..เฮ้ย ไม่ได้คุยกันมาตั้งนานตั้งสิบปี เดี๋ยวคุยกับมันหน่อย

อย่าไปคุยนะ ...ช่างมันเลย ลืมกันไปเลย อะไรอย่างนี้  ผ่านไปเลย อย่าไปรื้อฟื้นขึ้นมา ห่างไปได้ก็ห่างไป ไอ้ที่มีใหม่ก็พยายามอย่าไปสนิทมาก ...พอหลวมๆ การคบกันนี่พอหลวมๆ

ยกเว้นไอ้คนที่มันจำเพาะเจาะจง...คือเป็นโดยกรรม เข้าใจมั้ย พวกนี้มันโหลดไม่ได้ มันมีเหตุ ...จะรู้เองน่ะ มันจะมีเหตุว่า ไอ้อย่างนี้มันโหลดไม่ได้

แต่ถ้าโดยทั่วไปแล้ว ก็หลวมๆ อย่าไปตกร่องปล่องชิ้นจริงจัง หรือว่าเอามาเป็นธุระเกินไป ...ผ่านๆ ผ่านๆ ไป อย่างนี้ แล้วมันจะง่ายต่อการละวาง...ง่าย

แล้วมันก็จะมาติดกับไอ้บุคคลที่มันเป็นจำเพาะโดยกรรมพวกนี้...เจ้าหนี้รายใหญ่ ก็ถือว่าเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ ก็ใช้หนี้กัน...แบบระมัดระวัง ...อยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยสมาธิ อยู่ด้วยปัญญา 

แล้วมันจะเห็นทางเข้าทางออกได้ โดยที่บอบช้ำเจ็บตัวน้อยที่สุด แล้วก็ถือว่าเป็นการชดใช้กันไป ซึ่งบางทีนานนนน  กว่ามันจะชดใช้กันในชาตินึง นี่ หลายปี 

มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ว่าศีลสมาธิปัญญาก็จะทำให้เกิดปัญญาในขณะนั้นเอง ...เพราะนั้นก็อย่าไปให้ความสำคัญมั่นหมายกับมันมาก จนเกินไป 

ดูไปเรื่อยๆ ค่อยเป็นค่อยไป ดูไป กลางๆ ไป ในความผูกพัน กับใคร อะไร ...จนมันอยู่กัน คบกัน รับรู้กันโดยธรรม  ถ้ามันอยู่กันโดยธรรมได้ยิ่งดี ง่ายต่อการวางทั้งสองฝ่าย  

ถ้ามันอยู่กันโดยโลกโดยอารมณ์โลกนี่ ลำบาก มันมีแต่ความเอา ไม่มีการให้ ...แต่ถ้าอยู่โดยธรรม มันอยู่ด้วยการให้ แล้วมันไม่ยากในการที่จะไปทางโลกก็ได้ ไปทางธรรมก็ได้ ไม่มีปัญหา

แล้วก็พยายามน้อม คนที่ใกล้ชิดที่สุดน่ะ ให้เป็นไปในธรรม อบรมธรรม เกื้อหนุนกันในธรรม สงเคราะห์กันในธรรม ให้เห็นศีลสมาธิปัญญาบ้าง...โดยแยบคาย

คือในการสอนคนใกล้ชิด การบ่งบอกคนใกล้ชิดน่ะ ให้เป็นไปโดยแยบคาย ...อย่าไปเทศน์แบบพระนะ เดี๋ยวโดนตบ ...คือให้โดยแยบคาย ให้เขาน้อมในธรรมไปด้วย

ก็เป็นสิ่งที่ดีในการที่จะอยู่กัน ทำอะไรกัน มีอะไรกัน ละกันจากกันก็โดยธรรม ไม่ทุกข์มากทั้งสองฝ่าย ...เอ้า เอาแล้ว พอ.


................................



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น