วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 17/37


พระอาจารย์
17/37 (580110F)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
10 มกราคม 2558


พระอาจารย์ –  เพราะฉะนั้น เรียนรู้เรื่องกายเรื่องเดียวนี่แหละ...ให้แจ้งเถอะ ...ไม่ต้องไปเรียนรู้ที่อื่น ไม่ต้องไปเรียนรู้ธรรมบทอื่น

ของง่ายๆ ใกล้ตัว แต่ละได้ยากที่สุด ...ของง่ายนะ ใกล้ตัวนะ แต่บอกให้เลยว่า ละยากที่สุด ...ส่วนที่เป็นอรูปขันธ์ อรูปโลกนี่ อรูปธาตุนี่ ง่ายยิ่งกว่ากายใกล้ๆ นี่อีก

เพราะนั้นการเรียนรู้ในเรื่องของกายนี่ จนกว่าจะรู้แจ้งในกายนี่ จึงใช้เวลามาก...ต้องใช้เวลามาก นาน พอสมควร

แค่จำกัดจิตให้อยู่กับความรู้สึกใดความรู้สึกหนึ่งในกายนี่  เราสามารถทำได้มากน้อยแค่ไหน ประเมินดู ...สามารถจมแช่อยู่กับความรู้สึกนั้นได้กี่นาที กี่ชั่วโมง โดยที่ไม่คลาดเคลื่อนเลย

มันจะต้องคร่ำเคร่งอยู่กันจริงๆ จนบังเกิดเป็นฉันทะ ...คือความเพียรแรกด้วยความอยาก แบบบังคับข่ม นี่เรียกว่าเพียรโดยความอยากและศรัทธา

แต่พอทำไปถึงจุดๆ หนึ่งน่ะ จุดที่เรียกว่ามันเป็นฉันทะ  มันไม่ต้องบังคับ มันเป็นด้วยความพอใจ ยินดีต่อธรรม สันโดษต่อธรรม เกิดฉันทะ ...ทีนี้มันไม่ลำบากแล้ว ถ้ามันเป็นฉันทะ

ไอ้แรกๆ ที่มันลำบาก ที่ว่าพยายามเอาชนะจิตออกนอก จิตคิดแลบไปแลบมา สงสัยลังเลในธรรม ค้นหาธรรมนู้น ธรรมหน้า ธรรมนอก ธรรมรูปแบบวิธีการปฏิบัติ...ทุกอย่างน่ะ มันจะไปอยู่ตลอด ออกอยู่ตลอด

ฝืนทวนๆๆ จนกว่ามันจะลงร่องศีลได้น่ะ ยอมต่อศีล ถูกศีลกำราบจนยอม จิตยอม ...เมื่อยอมแล้วมันจะอยู่โดยฉันทะ สบาย เรียบง่าย ไม่ลำบากในการปฏิบัติ ไม่ลำบากในการค้นหาวิธีการใดแล้ว

มันจะค่อยสบายขึ้น อยู่กับกายได้ด้วยความนุ่มนวล ไม่แข็งกระด้างแล้ว เมื่อมันอยู่กับกายได้ด้วยความไม่แข็งกระด้าง นั่นแหละที่เรียกว่าศีลสมาธินี่ควรแก่งาน

ไม่แก่เกินไป ไม่อ่อนเกินไป มันอยู่ในภาวะที่สมดุล นุ่มนวล ราบเรียบเสมอกัน ...ปัญญาก็ค่อยๆ พอกพูนขึ้นๆ ชัดเจนในความเป็นจริงขึ้น ยอมรับในความเป็นจริงแห่งกายขึ้น พร้อมๆ กันไป

ทีนี้ อย่าไปตายใจกับศีลสมาธิปัญญาทีเดียวว่า เฮ้ย รู้แค่นี้พอแล้ว ไปหาธรรมอื่นมาเรียนต่อ คือยกมาพิจารณาธรรมบทนั้นบทนี้ต่อ ...นี่เสียศูนย์ เดี๋ยวเสียศูนย์อีก

ทำอย่างใดทำที่เดียว เอาให้แล้วเป็นเรื่องๆ ต้องแล้วเป็นเรื่องๆ นะ ...กำลังของสมาธิเราไม่สามารถเพียงพอที่จะไปรู้หลายเรื่องในทีเดียว คราวเดียวหรอก ไปไม่รอดหรอก

ถ้าได้รู้จำเพาะกายก็จำเพาะกายลงไป จำเพาะศีลก็จำเพาะศีลลงไป ...เอาให้มันแจ้งกายแจ้งศีลนี้ก่อน เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง ช่างหัวมัน

ความปรุงแต่งมันจะคอยอ้างธรรมนั้นธรรมนี้ สำคัญอย่างนั้น สำคัญอย่างนี้มา เพื่อให้ละได้เร็ว ละได้ไวก่อน ...มันว่าไปเรื่อยน่ะ อย่าไปฟังมัน

ลงที่กายนี่ ดูมันไป ต่อเนื่องไป จนกว่ามันจะตอบตัวเองได้ว่า ไม่สงสัยในความว่ากายนี้เป็นเรารึเปล่า ...จนกว่ากิเลสสะบั้นลงไป มันถูกสะบั้นลงไปจากกาย

จิตก็เงียบกริบเลยแหละคราวนี้ ความปรุงแต่งในจิตนี่เงียบกริบหมด สงัด วิเวก ข้างในนี่สงัดหมด เหมือนอยู่ในป่าช้าเลยมั้ง เหลือแต่กายใจเปล่าๆ ที่สงัดเงียบงันอยู่อย่างนั้น

ขันธ์ห้ามันเริ่มอ้อแอ้ๆ แล้ว...กูจะไปมายังไงวะ  มันไปมาไม่ออกเลย ไปมาไม่ออกเป็นรูปเป็นร่าง ...คือมันไม่สามารถก่อร่างสร้างขันธ์ขึ้นมาได้เป็นชิ้นเป็นอันแล้ว 

มันหมดแล้ว มันหมด เหมือนกับมันใกล้จะหมดสภาพไปแล้ว ขันธ์ห้านี่ สะเปะสะปะแล้ว ...สะเปะสะปะแล้วก็ร่วงหล่นๆ หลุดหาย ร่วงหล่นหลุดหายๆ

ไม่ต้องไปบังคับ ไม่ต้องไปอะไรเลย ...มันไม่สามารถต่อรวมตัวเป็นขันธ์ห้าได้ ภพมันเริ่มสลาย ไม่สามารถสร้างภพมาเป็นชิ้นเป็นอันได้น่ะ

เพราะว่าขันธ์ห้ามันรวมตัวกันไม่ติด...ร่วงๆ พอโผล่ขึ้นมาเป็นจุดเป็นต่อน ก็ร่วงๆๆ ...ไม่มีใครเล่นด้วย ว่างั้นเถอะ มันไม่มีใครไปเล่นด้วย

มันอยู่ที่นี้ๆ สองที่...กาย-ใจ กายใจที่ไม่ใช่เรา ...ขันธ์ห้ามันก็ไม่สามารถจะสร้างความน่าจะจริง น่าจะเป็น น่าจะมี ขึ้นมาให้ลุ่มหลงมัวเมาได้ง่ายๆ

นั่น ตามครรลองเส้นทางของมรรค มันจะเป็นอย่างนี้ ...มันจะเรียนรู้ผ่านมรรค เดินบนมรรค มันจะรู้เห็นอย่างนี้ ผ่านทาง ระหว่างทางดำเนินนี่

มันก็เกิดความเข้าอกเข้าใจในความเป็นไปของขันธ์ห้า ว่ามันเป็นทุกข์เป็นโทษ มันเข้าใจความเป็นจริงของกายใจ ว่ามันเป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นเรา เป็นใครของใคร หรือไม่เป็นใครของใคร

มันก็จะค่อยๆ เข้าใจไปทั้งสองระบบ...ระบบขันธ์ห้ากับระบบกายใจ แล้วก็ระบบที่ล้อมรอบขันธ์ห้ากับระบบที่ล้อมรอบกายใจ คือโลกทั้งสาม ...มันเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันเลย

อยู่ตรงนี้ที่เดียวนี่แหละ ไม่ได้ไปหาไปค้นอะไรเลย  ธรรมเขามาแสดงให้เห็นเอง กิเลสเขาก็แสดงให้เห็นเอง ...ตราบใดที่ยังมีกิเลส ไม่ต้องกลัวจะไม่เห็นกิเลส เดี๋ยวเขาแสดงให้เห็นเอง

การละการเลิก การเพิกการถอน ก็เป็นไปตามลำดับธรรมแห่งศีลสมาธิปัญญา ...ศีลสมาธิปัญญามากเท่าไหร่ก็ละกิเลสได้เท่านั้น เห็นกิเลสได้ลึกซึ้งเท่านั้น เห็นกิเลสด้วยความแยบคายขึ้นเท่านั้น 

แล้วก็ละได้ง่าย ไม่ยาก แล้วละแล้วก็ค่อนข้างจะ..ละแล้วละเลย คือไม่ค่อยหวนกลับคืน

มันหลอกได้อย่างมากไม่เกินสามครั้งมั้ง ครั้งที่สี่มันหลอกไม่ได้แล้ว ประมาณนั้นน่ะ ...ต่อไปก็หลอกได้ครั้งเดียว...หลอกอีกไม่ได้แล้ว ทิ้งโดยฉับพลันเลย

แต่แรกๆ หยาบๆ ก็กิเลสหลอกได้ประมาณสิบครั้งยี่สิบครั้ง พอครั้งที่ยี่สิบ เออะ กูค่อยทิ้ง ปัดทิ้งโดยทันที ไม่เสียดาย ...แต่พอนานไปนี่ ปุ๊บเดียวทิ้ง พั้บๆๆๆ เหมือนจักรผันเลย

นั่น มันหลอกไม่ได้แล้ว จริงคือจริง เท็จคือเท็จ ไม่จริงคือไม่จริง ไม่มีคือไม่มี มีคือมี ...มันชัดเลย ของจริงกับของไม่จริง

ทิ้งไปทิ้งมา ปัดไปปัดมา ขันธ์ห้า ละไปละมา วางไปวางมา สามโลกธาตุดับหมด ไม่มี ...เอ้า เป็นงั้นไป นึกว่ามีตั้งสามโลก ไม่มีเลยสักโลก ...เออ ทำไปเหอะ แล้วจะเห็น

เมื่อไม่มีสามโลกธาตุ สามโลกธาตุมันราบเรียบเป็นหน้ากลอง ไม่มีที่ตั้งให้อยู่ ให้ยืน ให้หยัด ให้เกิด ให้มีให้เป็นคน เป็นเรา เป็นสัตว์...ไม่มี ว่างหมด

ขันธ์ห้าไม่รู้จะเกิดยังไง จิตจะพาขันธ์ห้าไปเกิดไม่ได้ เพราะไม่มีที่ให้เกิด ...มันก็เลยกลั้นใจตายไปเลย..อวิชชา เพราะมันหาที่เกิดไม่ได้แล้ว

แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น มันจะต้องหากายนี้เป็นที่เกิดไม่ได้ก่อน ...ถ้ายังหากายนี้เป็นที่เกิดแห่ง "เรา"ได้...เสร็จมัน ไม่ต้องไปโลกไหนแล้ว โลกนี้เอาให้รอดเถอะ

มันก็จะมาวนอยู่ซ้ำกายเดิมนี่แหละ เพราะมันเป็นแหล่งหาความสุขแก่เราได้อย่างชัดเจนและเร็วไว ...เพราะมีอายตนะหกนี่เป็นผู้รองรับความสุข หาความสุขให้ผ่านกาย โดยกาย

มันมาแอบอ้างกายเป็นของมัน แล้วก็หาความสุขผ่านตาหูจมูกลิ้นกาย...เพื่อเป็นสุขแก่ "เรา"

เพราะนั้นถ้าตราบใดที่ยังทำลายความเป็นเราในกายไม่ได้ ไม่ต้องไปถามโลกอื่นเลย...ยังไงก็เกิดเป็นคน ...เพราะยังเป็นแหล่งทำมาหากินได้ คือสร้างความสุขแก่เราได้ง่ายๆ มันไม่ไปไหนหรอก

ยกเว้นกรรมมันจะพาไป ต่ำกว่า สูงกว่า ...แต่สุดท้ายก็มาเป็นคน เพราะมันเป็นที่ชุมนุมอายตนะครบ...สามโลกธาตุรวมอยู่ในนี้ กายมนุษย์นี่  

แล้วมันเป็นทางแยก จะไปไหนก็ได้ ตรงเนี้ยคือกาย ...เพราะนั้นแก้กายได้ ข้ามกายได้ หลุดพ้นจากกายได้นี่ สบายเลยๆ 

ดูเข้าไป รู้เข้าไป จนหากายไม่เจอ หาเราไม่เจอ จนหาแขนขาไม่เจอ จนหาหัวหาตัวไม่เจอ หาสีสันวรรณะสถานะไม่เจอ ...ดูไปจนไม่เจออะไรเลย 

เป็นอะไรที่...ไม่ต้องกลัวนะว่าจะเป็นภพว่าง ไม่ว่างนะ ถ้ามันยังมีตรง..เห็นกายเหมือนฟองอากาศน่ะ อะไรล่ะ มันจะอะไรล่ะ ฟองอากาศเหมือนกับพรายน้ำน่ะ

เออ มันจะเห็นกายเป็นเหมือนกับพรายน้ำ เหมือนฟองอากาศผุด นั่น มันจะเป็นสัตว์บุคคลอะไร ดูเข้าไปจนมันหมดสถานะในตัวของมันไปเลยนั่นน่ะ

นั่นแหละ ความเพียรเท่านั้นที่จะทำให้แจ้ง ความเพียรต่ำ ความเพียรน้อย ความอยากเยอะ การประกอบกระทำน้อย...เหล่านี้มันก็ขัดขวางการเจริญในองค์มรรคอยู่แล้ว

เพราะนั้น...โดยเฉพาะพระนี่ ควรจะเร่งรัดมากกว่าญาติโยมซะอีก เพราะว่าตั้งใจเจตนาในการบวชเป็นพระมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะอยู่แล้ว แม่ชีด้วย 

ไม่ใช่ว่ามาโกนหัวอยู่บ่ดาย ...ก็ให้เร่งภาวนาทุกลมหายใจ เติมศีลสมาธิปัญญาให้เต็ม..โดยสติ  เติมศีลสมาธิให้เต็ม ไม่บกพร่อง ไม่ร่วงหายง่ายๆ ให้มันยากหน่อย

เช่นเวลาเกิดอารมณ์ กระทบอารมณ์อะไรต่างๆ นี่ อย่าให้ศีลสมาธิปัญญาร่วงหายไปง่ายๆ ...ให้มันหายก็ให้หายแบบ...สู้กันสักตั้ง อย่าตามอารมณ์ทีเดียว

อย่าให้มันมีอารมณ์เป็นใหญ่อย่างเดียว อย่าให้กิเลสมันเป็นใหญ่ข้างเดียว  พยายามสร้างศีลสมาธิให้ใหญ่กว่ากิเลส ...ต้องสู้กัน อย่าให้มันร่วงหาย บอบบางแตกร้าวๆ ง่าย

กับกิเลสล้อมรอบนอกๆ ที่มันคอยจะกระทบให้เกิดอารมณ์ ...พอมีอารมณ์ปุ๊บนี่ เราจะทิ้งศีลสมาธิปัญญาแล้วเข้าไปมีอารมณ์ทันที อย่างรวดเร็ว อย่างเคยชิน

นี่ จะต้องระงับยับยั้ง แล้วก็ยึดเหนี่ยวรั้งกายใจปัจจุบันไว้ ...สู้กัน ยื้อกัน ยื้อกับอารมณ์ที่มันจะดึงให้เข้าไปเกลือกกลั้วมัวเมาในอารมณ์กิเลส ความมีเป็นในขันธ์ทั้งเราและเขา ต้องคอยสู้กันตลอด

จนศีลสมาธิปัญญามันไม่ล้มลุกคลุกคลาน ไม่บอบบาง แตกร้าวผุกร่อนได้ง่าย ...กิเลสมันก็จะเริ่มแสดงความเป็นจริงของตัวมันเองว่า ตัวมันเองน่ะไม่มีอะไรเลย

เป็นอะไรที่...ถ้าเราไม่ไปให้ความสำคัญ ไม่อะไรกับมันจริงๆ นี่  มันไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ทำอะไรไม่ได้เลย ...สุดท้ายมันก็สลายๆ สลายหมด

ของจริงมีอยู่นี่ ไม่มีทางเสื่อมไม่มีทางสลาย ...แต่กิเลสซึ่งไม่มีอยู่จริงอยู่แล้วนี่ มันก็แสดงความเป็นจริง ธาตุแท้ของมันเลยว่า ไม่มีอะไรๆ อารมณ์ก็เป็นอารมณ์ ไม่มีอะไร

โลภๆ โกรธๆ หลงๆ หงุดหงิดๆ ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรในนั้นเลย มันสลายหมด แต่ตัวนี้ยังคงอยู่แบบสว่าง เด่นหราอยู่ตลอด นี่ ความจริงคือความจริงวันยันค่ำ...ศีลสมาธิปัญญา

ศีลก็คือศีลวันยันค่ำ สมาธิก็คือสมาธิวันยันค่ำ ปัญญาคือปัญญาวันยันค่ำ ...คือมันเป็นของที่เป็นของจริงที่มีอยู่วันยันค่ำคืนยันรุ่ง

แต่กิเลสมันเป็นเหมือนกับอะไร ...อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า เหมือนเป็นเพียงแค่อาคันตุกะ แค่นั้นเอง เป็นแค่อาคันตุกะ ผ่านไปผ่านมา

รูป รส กลิ่น เสียง ก็เหมือนกัน ผ่านไปผ่านมา แค่นั้นเอง มันไม่มีอะไร มันไม่ได้มีไปตกไปค้างอยู่ตรงไหนเลยกับกายใจ

ยกเว้นว่าเราไปสร้างขันธ์มารองรับมัน ...จิตไปสร้างขันธ์รองรับเมื่อไหร่ รูปเสียงกลิ่นรสมันก็จะตกอยู่ในขันธ์ สัญญาขันธ์บ้าง อนาคตขันธ์บ้าง

แต่ถ้าโดยศีลสมาธิปัญญาล้วนๆ นี่ มันไม่มีตกค้างอยู่เลย  รูปเสียงกลิ่นรส แล้วอารมณ์ที่มาจากรูปเสียงกลิ่นรสก็ไม่มีตกค้างอยู่เลย

เรียนรู้ไปเหอะ ทำไปเหอะ ภาวนาไปเหอะ จะเข้าใจอย่างที่เราพูดเองน่ะ ...จนกว่ามันจะเข้าใจ ยอมรับ แล้วก็ปล่อยวางสิ่งที่ไม่จริงออกให้พ้นกายใจ ...จนเหลือแต่กายใจล้วนๆ นั่นน่ะ ก็หมดปัญหา 


(ต่อแทร็ก 17/38)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น