วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 17/35 (2)


พระอาจารย์
17/35 (580110D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
10 มกราคม 2558
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 17/35  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  แต่ด้วยความไม่มีปัญญา ไม่รู้ความเป็นจริงของขันธ์ห้า ...มันเกิดความติด ความยึด ความอิง ความเกี่ยว ความแนบแน่นในขันธ์ห้า

นับภพนับชาติไม่ถ้วน ที่เกิดมาเป็นสัตว์ ไม่ว่าสัตว์ประเภทไหน ตามแต่ความเป็นจริงของขันธ์นั้น ...จะสี่ จะสาม จะหนึ่ง หรือจะห้าก็ตาม...ติดหมด ติดขันธ์

มันเกิดความหมายมั่นจริงจังในขันธ์หมด ว่ามีจริง เป็นสุขให้เราจริง เป็นทุกข์ให้เราจริง สามารถสร้างความสุขให้เราได้จริง สามารถสร้างความเป็นทุกข์ให้เราได้จริง ...นี่ มันว่า มันเชื่อของมันอยู่อย่างนั้น 

มันเชื่อว่าขันธ์ห้านี่มีจริงยิ่งกว่าสิ่งที่มีจริงอยู่อีก มันเชื่อจนว่าไม่มีอะไรจริงกว่าขันธ์ห้าแล้วน่ะ ...นี่เขาเรียกว่าเชื่อในระดับที่ยึดมั่นถือมั่น เหมือนมันปิดหูปิดตาตัวมันเองเลยว่า ไม่ให้ไปเชื่อสิ่งอื่นนอกจากขันธ์ห้าว่าจริง

เพราะนั้น เบื้องต้นก็คือต้องระงับยับยั้ง จิตนึกคิดปรุงแต่ง ...ให้มันหยุด ให้มันอยู่ ให้มันตั้งรู้ตั้งเห็นอยู่จำเพาะที่...จำเพาะปัจจุบัน

ที่ต้องจำเพาะในปัจจุบันเพราะอะไร ...เพราะความเป็นจริงนั้นอยู่กับปัจจุบัน เพราะความเป็นจริงนั้นมีอยู่ในปัจจุบัน...ซึ่งความเป็นจริงที่อยู่ในปัจจุบันนี่ จริงกว่าขันธ์ห้า

แต่ตราบใดเมื่อใดที่เรายังไม่สามารถระงับยับยั้งขันธ์ห้าได้...เพราะเรายังไม่มีปัญญาที่เห็นขันธ์ห้าตามความเป็นจริง ...ยังไงๆ มันก็เชื่อว่าขันธ์ห้าจริงกว่าร้อยล้านเปอร์เซ็นต์

เพราะนั้น มันจึงต้องทวนจิตให้กลับมาลงที่...ลงฐานปัจจุบัน  เป็นจิตปัจจุบันรู้ ปัจจุบันเห็น ...นี่คือฐานของจิต 

ส่วนฐานของความเป็นจริงก็คือกายก็คือศีล นี่ ทวนลงมาที่ฐานกายฐานจิต ตั้งมั่นอยู่ที่ฐานกายและจิตปัจจุบัน คือศีลสมาธิปัจจุบันนั่นเอง

เมื่อกายกับจิตมันอยู่คู่กันทุกปัจจุบัน จิตเป็นจิตที่ระงับความปรุงแต่ง ระงับความเห็น ระงับอดีตระงับอนาคต ระงับอารมณ์  เหลือเพียงแค่รู้และเห็น ...นั่นเรียกว่าจิตตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบัน

เมื่อจิตมันระงับความปรุงแต่งในขันธ์ ...ระงับหมายความว่าคือยังไง  ก็คือการระงับการสร้างรูปสร้างนามขึ้นมา ...รูปนามคืออะไรทุกคนคงรู้จักกันหมดแล้ว ไม่ต้องอธิบายนะ เหนื่อยว่ะ

เมื่อมันระงับการสร้างรูปนาม ...ศีลหรือกายที่อยู่เบื้องหน้า มันก็จะปรากฏในลักษณะเปล่าเปลือยจากรูปนาม  เพราะว่าจิตมันระงับการปรุงแต่งรูปนาม กายก็ไม่ถูกรูปงามมาครอบโดยจิต

ต้องเข้าใจนะว่ารูปนามน่ะคืออะไร..คือขันธ์ห้านั่นเอง ...เมื่อกายมันปรากฏอย่างเปล่าเปลือย ปราศจากรูปนามมาครอบงำ ปราศจากขันธ์ห้ามาครอบงำ ปราศจากสมมุติบัญญัติมารองรับ

มันจึงถ่องแท้ในกายที่เปล่าเปลือยปราศจากรูปนามนั้น อย่างค่อนข้างชัดเจนขึ้นไปเรื่อยๆ ว่าหาความเป็นเราของเราไม่ได้

แต่เมื่อใดเวลาใดที่สมาธิหรือจิตตั้งมั่นนี่อ่อนตัวลง แล้วจิตได้ทำงานตามประสากิเลสคือปรุงและแต่งรูปนามขึ้นมา ...ความรู้สึกที่เห็นต่อกายนี้ จะเป็นลักษณะที่เรียกว่า...เป็นของเราอยู่

และเมื่อมันพากเพียรซ้ำลงไปอีกในสติในศีล แล้วเกิดสมาธิขึ้นอีกครั้งอีกครา ระงับรูปนาม ความเห็นที่มีต่อกาย ก็กลับเป็นว่าไม่ใช่เราอีก

การเรียนรู้ในองค์ภาวนานี่จะเกิดปัญญาในลักษณะนี้...คือเห็นทั้งความเป็นจริงของรูปนาม และเห็นทั้งความเป็นจริงของกาย ควบคู่กันไป

บางครั้งก็เห็นกายโดยสภาวะที่หลงตามรูปนามบ้าง บางครั้งก็เห็นว่าเป็นกายที่ไม่มีรูปนามและไม่เกิดหลงว่าเป็นเราบ้าง ...เหมือนกับสองลักษณะอาการนี้กำลังแย่งชิงพื้นที่กัน

แต่โดยความเป็นธรรมจริงๆ เขาไม่ได้แย่งชิงพื้นที่ใครนะ เขาอยู่ของเขาบ่ดายซื่อๆ อยู่แล้ว ...แต่กิเลสน่ะมันมาพยายามกลืนกิน คือจิตนะพยายามสร้างรูปนามมากลืนกินกายอยู่ตลอด

แต่ด้วยอำนาจความที่ฝืน ด้วยศีลสมาธิปัญญา...มันไปฝืน มันไปทวนรูปนามนี้ออก  กายก็ปรากฏอย่างชัดเจนตามความเป็นจริงของมัน

เพราะนั้นถ้าอำนาจของศีลสมาธิปัญญานี่มันมาก หรือมันแรงกว่าอำนาจของจิตปรุงแต่งที่มันจะคอยสร้างขันธ์ห้ารูปนามมาครอบ

กายตามความเป็นจริง ที่เป็นธาตุแท้ธรรมเดิม ที่เป็นต้นธาตุต้นธรรมเดิม มันก็ปรากฏอย่างสว่างกระจ่างในตัวของมันอยู่ตลอดเวลา

เพราะนั้นกายที่มันปราศจากรูปนามครอบงำน่ะ กายที่มันปรากฏโดยไม่มีขันธ์ห้ามาครอบงำมันน่ะ ...ดูยังไง เห็นยังไง รู้ยังไง ก็ไม่เป็นเราน่ะ

ไม่เป็นเราแล้วเป็นอะไร...เป็นแค่ก้อนธาตุก้อนธรรม  ...ถ้าจะให้มันพูด ก็พูดได้ว่าเป็นแค่นั้นน่ะ ไม่เป็นอื่น

ดูไปดูมาจนไม่เป็นก้อนธาตุก้อนธรรม ไม่รู้เป็นก้อนอะไรด้วยซ้ำ ไม่มีความหมาย เป็นเหมือนเป็นแค่สัญลักษณ์อะไรอย่างหนึ่งแค่นั้นเอง

ไร้รูปไร้นาม ไร้ความหมาย ไร้สุขไร้ทุกข์ ไร้อารมณ์ ไร้อะไรทุกอย่างเจือปน ...มันเป็นอะไรที่เป็นเอกธรรมน่ะ หรือเป็นธรรมล้วนๆ 

ดูเข้าไปสิ ดูเข้าไปเถอะ  เมื่อมันเห็นโดยรอบโดยรวมของกาย ว่ามันเป็นเอกธรรมของมันล้วนๆ อยู่อย่างนี้ ...ไม่ใช่เป็นธรรมของเรา ไม่ใช่เป็นธรรมของใคร

เออ ถ้ามันเห็นอยู่อย่างนี้ตลอด แล้วมันเชื่ออย่างนี้ว่าไม่ใช่ของเรา กายไม่ใช่ธรรมของเรา ...พอมันเห็นอย่างนี้ เชื่ออย่างนี้ มันทิ้งเลย มันวางทิ้งเลย มันปล่อยทิ้งไปเลย

ไม่เอากายนี้มาเป็นภาระ ไม่เอากายนี้มาเป็นธุระ ไม่เอากายนี้มาเป็นที่อยู่แห่งสุขทุกข์แก่เรา ไม่เอากายนี้มาเป็นที่สวยที่งามแก่เราแก่ใครเลย ...มันทิ้งหมดเลย มันทิ้งมันวางแบบไม่อาลัยอาวรณ์ใยดีอะไรเลย

ถ้ามันวางกายนี้ได้ วางกายนี้ลง เรียกว่าก้าวข้ามความหมายมั่นในกายนี้ได้ ...แล้วจะรู้เองว่า ทุกข์นี่ ทุกข์แห่งเรานี่ ความรู้สึกที่เราเป็นทุกข์นี่ มันจะหายไปเกินครึ่งน่ะ

แปดสิบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์น่ะ ที่หายไป นี่ไม่มีทุกข์แล้ว เราน่ะไม่มีทุกข์แล้ว หรือพูดง่ายๆ โลกนี้กับของในโลกนี้ ไม่สามารถสร้างทุกข์แก่เราได้เลย

เพราะนั้นทุกข์ในโลกสุขในโลกนี่ มันจะหมดไปพร้อมกับความหมายมั่นในกาย ว่ากายนี้เป็นเราของเรา

เมื่อผู้ใดก็ตามที่เข้าไปถึงจุดนี้ แล้วมันวางความหมายมั่นในกายนี้ลงได้นี่ แล้วมันมองย้อนกลับมาข้างหลังนะ มันจะเห็นเลย

ไอ้ที่กูพากเพียรเดินจงกรมนั่งสมาธิทั้งวี่ทั้งวัน ตลอดวี่ตลอดวัน ลำบากจะตายห่านี่..คุ้มว่ะ  มีผลได้ผลเกินกว่าที่มันว่า ไม่ไหวแล้ว จะตายอยู่แล้ว

พอถึงจุดนั้นน่ะ มันจะรู้เลยว่าคุ้ม...คุ้มค่าแห่งการเกิด คุ้มค่าแห่งการบากบั่นพากเพียรเดินจงกรมนั่งสมาธิ พูดให้น้อย งดเว้นการหาความสนุกเพลิดเพลินทางโลก ทางหู ทางตา ทางเสียง

มันจะรู้เลยว่า เออ แค่ลงทุนแค่นี้ นิดหน่อยมากเลย เมื่อยๆ หิวๆ ปวดๆ แค่นี้ ...แต่ผลที่ได้คืนมานี่ มันมีค่ายิ่งกว่า...หมายความว่าการกลับมาเกิดมีกายนี้ต่อไปในภายภาคหน้านี่...ไม่มีอีกแล้ว

ไม่กลับมาเกิดเป็นคนอีกแล้ว ไม่กลับมาเกิดกับดินน้ำไฟลม ไม่กลับมาเอาดินน้ำไฟลมมารวมเป็นรูปร่างสัณฐานแห่งคนอีกแล้ว ...แล้วไม่จำเพาะคน..สัตว์ทุกชนิด ที่เป็นรูปหยาบ กายหยาบ...ก็ไม่เป็น

มันแจ้งในธาตุแล้ว แจ้งในธาตุโลกแล้ว ธาตุคือธาตุ ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ไม่มีเราไม่มีเขาในธาตุ มันแจ้งธาตุ หนึ่งโลกธาตุ..จบ ...จริงๆ ไม่ใช่หนึ่งนะ สองนะ สองโลกธาตุ เพราะรวมรูปโลกด้วย

แล้วจากนั้นไปก็เรียนรู้เรื่องอรูปธาตุ จนกว่ามันจะเห็น จนกว่ามันจะแจ้งเลยว่า อรูปก็คือธาตุ จึงแจ้งจบครบถ้วนสามโลกธาตุ ...สุดท้ายจึงเห็นว่า ธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวงเนี่ย...คือธรรมธาตุ

เมื่อมันเห็นธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นธาตุ ด้วยความเข้าใจและปล่อยวาง ...การเข้าไปเกี่ยวข้องกับธรรมธาตุนั้น จึงเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์เป็นวิสุทธิธาตุ เป็นวิสุทธิธรรม

แม้แต่ขันธ์ที่ยังหยิบไหว้วานใช้สอยมันออกมาทำงาน ก็ยังเรียกว่าเป็นวิสุทธิขันธ์ ...ไม่มีคำว่าเกาะเกี่ยว ไม่มีคำว่าผูกพันมั่นหมายในที่ใดที่หนึ่งเลยในวิสุทธิขันธ์


(ต่อแทร็ก 17/36)





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น